7.23.2551

Beta 1

หลังจากที่ได้นำเสนอ อ.ในคราวที่แล้ว ในการทดลองสนองตัณหาตัวเองแล้วก็ไม่ผ่าน แต่ก็ได้รับเรื่องที่จะทำมา ก็กลายเป็นเรื่องการใช้หลอดไฟในสถานที่ต่างๆกันไป



เลยลองทำมาเป็น Interactive คร่าวๆดูก่อน



หลังจากที่ให้อาจารย์ ดูก็ต้องปรับปรุงเพราะว่ามันยังดูไม่ได้อารมณืของเรื่องของหลอดไฟ เลยให้ลองถ่ายเป้ฯสถานที่จริงดู

7.22.2551

สีและมองเห็น

หลังจากได้ประเด็นเรื่องหลอดไฟแล้วเลยเอามาทำการทดลองเรื่องหลอดแต่ละแบบดูโดยเริ่มจากการเทียบระหว่างไฟบ้าง หลอดไส้ และไฟหลอดซีน่อน แล้วก็เรื่องสีต่างๆดู

ลองเอาสติกเกอร์ขาวแป๊ปกระดาษขาวดูเพื่อดูการสะท้อนกับของสี

หลอดไส้


หลอดฟลุออเรสเซน



------------------------------------------------------------------------------------------------

ลองกับกระดาษแก้วหลายๆสีดู


6.24.2551

แบนหลอดไส้

เตรเลียสั่งแบนหลอดไส้ หวังเลิกใช้ภายใน 3 ปี

เอพี/เอเจนซี/เอเอฟพี – ออสเตรเลียประกาศแผนออกกฎยกเลิกการใช้หลอดไฟฟ้าแบบไส้ หันมาใช้พลังงานแบบพอเพียง เพิ่มปริมาณการใช้หลอดฟูออเรสเซ็นต์เข้าแทนที่ เพื่อควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซปฏิกิริยากระจก หวังช่วยชะลอปัญหาโลกร้อน

มัลคอล์ม เทิร์นบูล (Malcolm Turnbull) รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม ออสเตรเลีย ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 20 ก.พ. ว่า ทางรัฐบาลออสเตรเลียจะออกกฎหมายจำกัดการขายหลอดไส้ และเชื่อว่าการใช้หลอดไส้น่าจะหมดไปได้ภายใน 3 ปี ส่วนหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์น่าจะสามารถเข้ามามีบทบาทมากขึ้นภายในปี 2009

อย่างไรก็ดี มีข้อมูลบ่งชี้ว่าออสเตรเลียปล่อยก๊าซก่อสภาวะเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศถึง 565 ล้านตันในปี 2004 โดยเทิร์นบูล เชื่อว่าหากเลิกใช้หลอดไส้แล้วออสเตรเลียจะสามารถลดการปลดปล่อยเรือนกระจกได้ถึง 4 ล้านตันภายในปี 2010 และจะช่วยลดค่าไฟฟ้าในแต่ละครัวเรือนได้มากถึง 66% ด้วย

แม้ว่าออสเตรเลียถือเป็นประเทศแรกในโลกที่มีการออกกฎลักษณะดังกล่าว ทว่าเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมารัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ ได้ออกกฎหมายห้ามใช้หลอดไส้ไปแล้ว และในรัฐนิวเจอร์ซีย์ก็เริ่มมีการเรียกร้องให้เลิกใช้หลอดไส้ภายใน 3 ปี

ขณะที่ฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro) ประธานาธิบดีแห่งคิวบา ริเริ่มโครงการลักษณะเดียวกันนี้ตั้งแต่ 2 ปีก่อนแล้ว โดยส่งกลุ่มเยาวชนเข้าไปเปลี่ยนหลอดไฟกันถึงตามบ้าน โดยต้องการให้ใช้ไฟฟ้ากันอย่างประหยัด แก่ปัญหาไฟตกบนเกาะ

ไม่กี่เดือนถัดมามิตรรักของคาสโตรอย่างประธานาธิบดีฮิวโก ชาเวส (Hugo Cha) ของเวเนซูเอลา ก็เห็นดีเห็นงามกับแนวคิดดังกล่าว จึงประกาศโครงการประหยัดพลังงานด้วยตัวเอง ทำให้ขณะนี้เวเนซูเอลาและประเทศเพื่อนบ้านใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์กันอย่างแพร่หลาย

ปัจจุบันแม้ว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์จะราคาแพงมากกว่าหลอดไส้มาก แต่ฟลูออเรสเซนต์ใช้พลังงานความร้อนเพียงแค่ 20% ของหลอดไส้ และหลอดไส้ขนาด 75 วัตต์จะมีอายุใช้งานประมาณ 750 ชั่วโมง ขณะที่หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ขนาด 20 วัตต์จะมีอายุใช้งานนานถึง 10,000 ชั่วโมง

แม้นักสิ่งแวดล้อมจะชื่นชมกับรัฐบาลออสเตรเลียที่ออกนโยบายนี้ แต่ก็อดจะติงไม่ได้ว่า แหล่งทีก่อภาวะเรือนกระจกแหล่งใหญ่ของออสเตรเลียนั้นคือภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งที่ใช้พลังงานจากถ่านหิน แต่ก็นับว่านโยบายดังกล่าถือเป็นก้าวเล็กๆ ที่ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

ที่มา: http://www.manager.co.th
Link: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500

6.22.2551

หลังจากคราวที่แล้วนำเสนอพูดถึงเรื่องที่เกี่ยววกับบุคคล3แบบเกี่ยวกับกับโลกร้อน
คือ

พวกที่รณรงค์กันอยู่กับพวกเพื่อลงภาวะโลกร้อน
พวกที่รอการเริ่มต้น
พวกที่ไม่สนใจ

ก็เลยแตกออกมา ดูก่อนว่าแต่ละพวกต่างกันยังไง

พวกแรกก็คือ พวกที่เริ่มสนใจและกระตุ้นคนรอบข้างให้สนใจในปัญหาโลกร้อน แล้ววก็เริ่มรณรงค์การลดใช้พลังงานด้วยวิธีต่างๆ เช่นการใช้พลังงานทดแทน
การลดปริมาณขยะ ใช้ให้น้อยลง ฯลฯ

พวกที่2 คือพวกที่รอการเริ่มต้น คนเหล่านี้ก็ยังคงดำเนินชีวิตและบริโภคพลังงานกันอย่างปรกติ
แต่ก็ยังสนใจที่จะช่ยประหยัดพลังงานบ้าง แต่ก็ยังไม่ลงมือกระทำยังรอคนอื่นกระทำก่อน

พวกที่ 3 คือ พวกที่ไม่สนใจอะไรเลยยังคงบริโภคเหมือนเดิมและไม่สนในเรื่องการหมดไปและการเสื่อมสลาย
ของพลังงาน และคิดว่าพลังงานยังไม่ก็หมดไม่ทันรุ่นเเรา

แต่ยังไงพวกนี้ก็ยังคงใช้พลังงานเหล่านั้นอยู่ เพราะมันก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิต ยังคงต้องขับรถ ยังคงต้องทำโฆษณา ยังต้องอาศัยมันอยู่ดี
ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

6.08.2551

Comm5

แล้วก็ได้เริ่มต้นประเดิมกับ Comm5 ด้วยการนั่งดูวีดีโอสารคดี 3 เรื่อง ซึ่งดีใจอยู่นิดๆที่ได้เรื่องที่2 เพราะเรื่องแรก wal-mart ฟังมันไม่ทันเลยแทบไม่มีเวลาประมวลคำพูดเลย

ตอนแรกที่ได้ดูเรื่องที่2 ก็เห็นพูดถึงเรื่อง นวัตกรรมใหม่ที่ช่วยประหยัดพลังงาน โดยเดิมทีที่เนื้อเรื่องพูดนั้นก็พูดถึงการใช้พลังงานที่สิ้นเปลืองและไม่คุ้มค่ากับพลังงานที่เสียไปเกี่ยวกับจำพวกรถยนต์โดยทั้งสิ้น

อย่างที่มีเพื่อเคยพูดเรื่องตั๋วรถเมล์ว่าประโยชน์ของมันก็แค่เรื่องการใช้นับจำนวนคนในแต่ละรอบรถ ซึ่งถ้าทุกคนยังพอจะจำกันได้ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ10-12 ปีก่อนเคยมีนโยบายของ รถ ขสมก. ร่วมกับเซเว่น เพื่อลดการทิ้งตั๋วรถเมล์ตามท้องถนนโดยนำมาเป้นส่วนรถในการซื้อของ แต่ก็ต้องล้มเลิกไป เพราะคนก็ยังทิ้งกันอยู่ดี นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของความเคยชินมากกว่าที่คิดจะทิ้ง นี่ก็เป็นแค่เรื่องที่ผุดเข้ามาในหัวผมเฉยๆไม่ได้สำคัญมากนัก

การที่เราใช้พลังงานที่สิ้นเปลือนนั้นมันก็น่าจะมาจากพฤติกรรมการบริโภคที่ผิดวิธีและการปลูกฝัง

กลับกลายเป็นว่าทุกคนแบ่งเป็น3 พวกแล้วเท่าที่เห็น คือ
1. ต้องการลดปริมาณขยะที่มีอยู่แล้ววนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์แล้วก็โหมโฆษณากันเข้า
2. เมิงเริ่มก่อนดีแล้วกุจะตาม
3. ไร้สาระใช้ๆไปเถอะเรื่องมาก

อย่างเรื่องโลกร้อนน้ำแข็งละลายน้ำท่วมโลก บางคนก็คิดว่ายังไงมันก็ไม่ทันรุ่นเราอยู่ดี
ถ้าเราไม่เกี่ยงกันแล้วหาอะไรพอที่จะมี power พอที่จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนได้ก็คงจะดี

1.28.2551

จากคำว่า Micro และ Macro โดยที่ผมเชื่อมโยงไปจนถึงหลักการของเรื่อง Butterfly Effect ซึ่งพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงขนาดเล็กซึ่งแทบจะไม่ส่งเกตเห็นผลในวงแคบแต่กลับอาจจะมีผลไปถึงผลเสียในวงกว้าง
เช่นการ พูดถึงการ ขยับปีกของผีเสื้อ อาจจะเกิดผลทำให้เกิดพายุในอีกซีกโลกหนึ่งซึ่งหลักนี้ก็เคยมีคนเอามาสร้างหนังหลายเรื่อง

ซึ่งผมกำลังคิดถึงหลักการนำเสนอแบบในหนังเรื่อง - slidding door เพราะเกิดจาการเปลี่ยนแปลงเพียงน้อยนิดตอนต้น ส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด

ซึ่งตอนนี้ได้วิธีการนำเสนอแล้วปัญหาคือเรื่องที่ต้องการนำเสนอ
เพราะด้วยวิธีนำเสนอที่ธรรมดาจึงต้องนำเสนอเรื่องให้ดูน่าสนใจเพื่อเอามาชดเชยกับวิธีการนำเสนอ

แต่....
เนื้อเรื่องอะไรดีหละ
...
...
...
...
นั่นแหละคือปัญหาในตอนนี้

1.21.2551

Micro & Macro


หลังจากที่ได้รับ โจทย์ เกี่ยวกับคำว่า Micro และ Macro ก็ได้ไปประชุมงานกับเพื่อนๆเพื่อหาความหมายของคำๆนี่จากแต่ละคน
โดยที่หลังจากเริ่มคุยกันที่สิ่งที่ทุกคนคิดเกี่ยวกับคำนี้ก็ได้เริ่มมีการแลกเปลี่ยนกันซึ่งสรุปใจความได้ว่า

Macro ใหญ่ ขนาดที่ใหญ่ ชุดคำสั่งที่เราเขียนขึ้น
Micro เล็ก จุล

จากตรงนี้เราก็พยายามหาสิ่งต่างๆมาเปรียบเทียบว่าเช่น
แขน คือ Macro
เซลล์ ก็จะคือ Micro

โดยส่วนตัวรู้สึกว่ามันมีความใกล้เคียงกับ ทฤษฎีเกี่ยวกับ Butterfly effect ซึ่งพูดถึงเกี่ยวกับการกระทำเพียงเล็กน้อยที่แทบจะไม่สามารถสังเกตได้ในที่นี้ผมเห็นว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงระดับจุลภาค อาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้
ซึ่งมันก็เป็นหลักการที่ว่า " การผีเสื้อขยับปีกญี่ปุ่น อาจจะก่อให้เกิดพายุที่อเมริกาได้ " เพราะการที่ผีเสื้อขยับปีก 1 ทีนั้นก่อนให้เกิดความกดอากาศที่เปลี่ยนไปได้โดยที่อาจจะไม่ส่งผลในทันที แต่จะส่งผลให้รอบข้างเกิดการเปลี่ยนแปลงความกดอากาศไปในวงกว้างและเพิ่งไปเรื่อยๆ

โดยตอนนี้เรื่องที่เอามาคลอบให้เกิดเป็นชิ้นงานนั้นยังไม่มี

Chaos Theory
ทฤษฎีความอลวน (Chaos Theory) นั้น อธิบายด้วยภาพจำลองการเคลื่อนไหวของ ปรากฏการณ์เคออส จากปัญหาสามวัตถุ
จากภาพเส้นที่ต่างกันสามเส้นแทนการเคลื่อนไหวของวัตถุสามชิ้น ซึ่งดูเหมือนไม่เป็นระเบียบ ทฤษฎีความอลวน (chaos theory) เป็นทฤษฎีที่อธิบายถึง ลักษณะพฤติกรรมของระบบพลวัต (คือ ระบบที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น เปลี่ยนแปลงตามเวลาที่เปลี่ยนไป) โดยลักษณะการเปลี่ยนแปลงของระบบที่เรียกว่าเคออสนี้ จะมีลักษณะที่ปั่นป่วนจนดูคล้ายว่า การเปลี่ยนแปลงนั้น
เป็นแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบ (random/stochastic) แต่จริง ๆ แล้ว ระบบเคออสนี้เป็นระบบแบบไม่สุ่ม หรือระบบที่มีระเบียบ (deterministic) ในทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ คำจำกัดความของระบบเคออส คือ ระบบแบบไม่เป็นเชิงเส้น (nonlinear system) ประเภทหนึ่ง ที่มีความไวต่อสภาวะเริ่มต้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าระบบ 2 ระบบนั้นเริ่มต้นจากสภาวะที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย คือเกือบจะเหมือนกันทุกประการ

(จากควันที่ลอยขึ้นมาตอนแรก หากโดนอากาศที่แปรปรวนแม้เพียงนิด ก้อจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาลในช่วงหลัง)
เมื่อระบบได้มีการเปลี่ยนไปซักระยะหนึ่ง สภาวะของระบบทั้งสองที่เราสังเกตได้เมื่อเวลาผ่านไปจะแตกต่างกันอย่างสังเกตเห็นได้ชัด ในสภาพ Chaos, สภาพสับสนอลหม่าน, สภาพไร้ระเบียบ คือไร้เสถียรภาพ (unstable) ที่มีความอ่อนไหวสูงยิ่ง หรือมีความเปราะบาง เมื่อมีการกระทบเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่เป็นเส้นตรง แต่เป็นทางที่คดเคี้ยว กวัดแกว่ง และบางครั้งก้าวกระโดด (sporadic) เกิดตรงจุดนั้นบ้าง จุดนี้บ้าง ทำให้ยากที่จะทำนายผลลัพธ์ได้ เพราะมีสิ่งอื่น ๆ
ที่มาเป็นองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง ในตอนหนึ่งของการอธิบายทฤษฎีไร้ระเบียบได้พูดถึงผลกระทบของ Butterfly Effect
ซึ่งศาสตราจารย์ เอ็ดเวิร์ด (Edward Lorenz) ได้อธิบายไว้ว่า ในด้านทฤษฎีอุตุนิยมวิทยา ผีเสื้อตัวหนึ่งกระพือปีกที่ฮ่องกง
สามารถที่จะทำให้ดินฟ้าอากาศที่แคลิฟอร์เนียเปลี่ยนแปลงได้เมื่อ 1 เดือนให้หลัง นี่คือกระบวนการที่เรียกว่า Butterfly Effect

(สมการของ Edward ที่ใช้ค่าเริ่มต้นจากตรงกลางในการทดลองครั้งที่ 2)

Edward บอกว่าเค้าค้นพบโดยบังเอิญ จากกระบวนการที่เค้านั่งเฝ้าตัวเลขที่ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนไปเป็น .0000001 ของทศนิยม
และนั่งเฝ้าเข็มรายงานความเคลื่อนไหวของอากาศ ทุกครั้งที่เกิดการสั่งสะเทือนของระบบการรับข่าวสารเกี่ยวกับสภาวะอากาศ
และเฝ้าสังเกตดูจุดทศนิยมที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ละจุด ๆ เมื่อเกิดความคลาดเคลื่อนไปแล้วจะทำให้เกิดรูปร่างที่เมือนกับโครงสร้างของผีเสื้อ Edward ยังพบอีกว่า .0000001 ที่คลาดเคลื่อนไปก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมหาศาล การเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลในภาวะแวดล้อมของอุตุนิยมวิทยาไม่ใช่เกิดขึ้นจากสาเหตุใหญ่ ๆ เลย หากแต่เกิดขึ้นจากสัญญาณเล็ก ๆ เป็นจุด ๆ

(กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างจุดเริ่มต้นกับจุดสะเทินที่ทำให้ค่าเปลี่ยนไป)

Edward จึงอธิบายว่าถ้ามันเป็นเช่นนี้จริงก็หมายความว่า แม้กระทั่งผีเสื้อตัวเล็ก ๆ กระพือปีกเบา ๆ อยู่ที่ฮ่องกง
ปีกที่กระพือนั้นอาจจะสะเทือนส่งไปถึงแคลิฟอร์เนีย หรืออีกซีกโลกก็เป็นได้ ถ้าระบบนั้นอยู่ใกล้จุดสมดุลสะเทิน
ทำนองเดียวกันกับคำอุปมาทีว่าฟางเส้นสุดท้ายที่หักหลังอูฐ (คำพังเพยฝรั่ง) ในการไหลของของไหลก็เช่นกัน
การสะดุดความขรุขระเพียงนิดเดียวก็อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนสถานะจากการไหลแบบราบเรียบเป็นการไหลแบบปั่นป่วนได้
ถ้าการไหลนั้นอยู่ใกล้จุดวิกฤติ(ซึ่งสามารถคำนวณหาได้)
เรามักจะได้ยินคำพูดที่เป็นที่นิยมพูดกันอย่างกว้างขวางที่ว่า "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" หรือ "ผีเสื้อขยับปีกทำให้เกิดพายุ" (จาก "butterfly effect") ที่โปรยหัวไว้ข้างต้น ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่ตีความในลักษณะของขนาดความรุนแรงของผลลัพธ์เท่านั้น ระบบเคออสนั้นไม่จำเป็นจะต้องแตกต่างกันในแง่ของ ขนาด ของผลลัพธ์เสมอไป แต่อาจแตกต่างกันในแง่ของ พฤติกรรม การเปลี่ยนแปลงก็ได้ จากตัวอย่างข้างบน การเปลี่ยนแปลงของระบบทั้งสองนั้นจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมากในขณะเริ่มต้น เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย
สิ่งที่น่าสนใจคือ Chaos theory จะเกิดผลกระทบต่อโลกอย่างไร? จะเกิด Global Effect อย่างไรต่อไป ?
(เกิดกับคนทั้งโลก Ex. ปรากฏการณ์เอลนินโญ่ เกิดจากการที่กระแสน้ำอุ่นเปลี่ยนทิศทาง จากที่เคยไหลเรียบฝั่งแอฟริกาอยู่ดี ๆ
ก็ข้ามฝากมายังอเมริกาใต้ สู่มหาสมุทรแปซิฟิก ผลส่วนหนึ่งคือ ทำให้เกิดไฟไหม้ป่าที่เกาะสุมาตรา
จากป่าที่เป็นเคยสมบูรณ์ที่สุดในแถบเอเชีย ซึ่งการที่กระแสน้ำอุ่นเปลี่ยนทิศทางนั้นเป็นผลมาจากการสะสมความเปลี่ยนแปลง
ทีละเล็ก ละน้อย แต่ความเป็นจริงมีสัญญาณเตือนภัยที่ส่อเค้ามาก่อนแล้ว เช่น หิมะละลาย แผ่นดินถล่ม แต่ก็ไม่มีคนสนใจ
สุดท้ายนี้คือ ถ้ามองอย่างผิวเผินที่สุด เพียงจุดเล็ก ๆ จุดหนึ่งในชีวิตประจำวันอาจจะพลิกโฉมหน้าชีวิตทั้งชีวิตของเราไปเลยก็ได้ หรือแม้แต่คนเล็ก ๆ คนหนึ่งในสังคม อาจจะก่อให้เกิดแรงพลักดันก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้ในสังคม มาถึงวันนี้แล้ว
ถ้าใครที่มัวแต่คิดว่าสังคมมันแย่ ชีวิตมันแย่ คุณจะเป็นฝ่ายที่คิดว่า ในเมื่อมันแย่ไปแล้ว เราแย่อีกซักคนมันจะเป็นไรไป หรือคุณพร้อมที่จะเป็นจุดเล็ก ๆ จุดนึง ที่อาจจะพลิกทั้งชีวิต เปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นได้ ก็ต้องเลือกเอา